ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของการนวดแผนไทยประยุกต์
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แพทย์ในราชสำนักมีตำแหน่งเป็น หลวง ขุน หมื่น พัน และมีศักดินา ดังนี้
- ตำแหน่ง เทียบเท่า ศักดินา
- ขุนอุดมโอสถ ปลักกรม 400
- ขุนมณีโอสถ นายเวร 200
- พระวรองค์รักษา จางวาง 800
- หลวงสัมพาหแพทย์ ปลัดจางวาง 400
- หลวงสัมพาหภักดี ปลัดจางวาง 400
- หลวงประสาทวิจิตร เจ้ากรมซ้าย 800
- หลวงประสิทธิหัดถา เจ้ากรมขวา 800
- ขุนวาตาพินาศ ปลัดกรมขวา 400
- ขุนศรีสัมพาห ปลัดกรมซ้าย 400
ในปี พ.ศ. 2466 ได้ออก พรบ.การแพทย์เพื่อควบคุมการประกอบโรคศิลปะ เป็นฉบับแรก และมีการจัดให้สอบขึ้นทะเบียน 4 สาขา คือ เวชกรรม เภสัชกรรม ผดุงครรภ์ และการนวด ต่อมาในปี พ.ศ.2479 ได้ออก พรบ.การประกอบโรคศิลปะ และได้ยกเลิกสาขานวด มีผลให้การนวดแบบรักษาจะต้องมีใบประกอบโรคศิลปะสาขาเวชกรรม
หมอแผนไทยซึ่งไม่ได้เป็นหมอราชสำนักแล้วมีการจัดตั้งเป็นสมาคมขึ้น สมาคมแห่งแรกตั้งขึ้นใน พ.ศ.2475 โดยอาจารย์สีตวาทิน เป็นนายกสมาคมคนแรก
ใน พ.ศ.2525 ศาสตราจารย์ นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้ก่อตั้งการแพทย์แผนไทยประยุกต์ขึ้น และได้มีการนำการนวดแผนไทยประยุกต์มาใช้ในการรักษา
ขอบเขตและหลักการนวดแผนไทยประยุกต์
ขอบเขตเนื้อหาการเรียนวิชานวดแผนไทยประยุกต์ มีดังนี้
- ประวัติการนวด
- ศีล จรรยาบรรณ และสถานที่อโคจร
- พิธีการไหว้ครู มอบตัวศิษย์ ครอบครู
- เส้นประธาน 10
- การฝึกนิ้วมือ
- ประโยชน์และข้อควรระวังของการนวด
- วิธีการฝึกนวดแนวเส้นพื้นฐาน 10เส้น พร้อมวิธีการแต่งรสมือ
- วิธีการนวดจุดสัญญาณที่สำคัญ 50 จุด พร้อมความหมาย ประโยชน์ และข้อควรระวัง
- ทฤษฎี กลไกการเกิดโรค อาการโรค หลักการวินิจฉัย
- หลักการนวดรักษาสูตรพื้นฐานและการนวดรักษาโรคที่ใช้การนวดที่ซับซ้อน
- ทักษะการนวดผู้ป่วยจริง
- การให้คำแนะนำหลังการรักษา
- การวิเคราะห์โรคเทียบเคียงกับแผนปัจจุบันและการส่งต่อผู้ป่วย
การแต่งรสมือ คือ การปรุงแต่งวิธีการนวดให้เหมาะสมกับโรคและลักษณะคนไข้เป็นราย ๆ ไป โดยแต่ละจุดที่นวดนั้นจะต้องมีสมาธิ หน่วง เน้น นิ่ง และใช้หลักการแต่งรสมือ 2 อย่าง คือ
- การกำหนดองศา มาตราส่วน ซึ่งเป็นการควบคุมทิศแรงและน้ำหนักแรง แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ น้ำหนักขนาดเบา น้ำหนักขนาดปานกลาง น้ำหนักขนาดหนัก
- คาบ คือ ระยะเวลาที่กดนวดในแต่ละจุด แบ่งออกเป็น คาบน้อยและคาบใหญ่
– คาบน้อย คือ การกำหนดลมหายใจให้มีระยะเวลาในการกดสั้น (10-15 วินาที) โดยมากจะใช้กับการนวดแนวเส้นพื้นฐาน
– คาบใหญ่ คือ การกำหนดลมหายใจให้มีระยะเวลาในการกดนาน (30-45 วินาที) โดยมากจะใช้ในการเปิดประตูลมและการนวดบังคับจุดสัญญาณ
หลักการใช้ประโยชน์ของการนวด มี 2 อย่าง คือ
- เป็นการหวังผลจากการนวดเฉพาะที่ เพื่อบังคับเลือด ความร้อน พลังประสาท มาสู่จุดที่รักษา
- เป็นการหวังผลแบบปฏิกิริยาสะท้อนกลับ คือ การกดนวดจุดหนึ่ง แล้วร่างกายเกิดปฏิกิริยาอีกตำแหน่งหนึ่ง เช่น การนวดสัญญาณ 5 ขาด้านใน แล้วสามารถช่วยเรื่องหัวใจวายเฉียบพลัน
ธรรมเนียมปฏิบัติแต่โบราณในการนวดแผนไทยประยุกต์
ศีล จรรยาบรรณ มี 3 ข้อ คือ ไม่ดื่มเหล้าหรือติดของมืนเมา ไม่เจ้าชู้ ไม่หลอกลวงเพื่อหวังผล
กฎระเบียบแบบราชสำนัก มีดังนี้
- การเดินเข่า ควรเดินห่างจากคนไข้ 4 ศอก
- นั่งพับเพียบ ควรห่างจากคนไข้ 1 ศอก (1 หัตถบาท)
- ยกมือไหว้ ตามศักดิ์ของคนไข้
- ตรวจจับชีพจร มือ-เท้า เพื่อสังเกตดูกำลังเลือดลม ลักษณะการเต้นของหัวใจ จำนวนครั้ง ความหนักเบาของชีพจร
- ในขณะนวดต้องไม่ก้มหน้า- ไม่แหงนหน้า
พิธีกรรมไหว้ครู มีการประกอบพิธีกรรม 2 ขั้น คือ
- การมอบตัวศิษย์ โดยศิษย์ใหม่จะต้องถือจานดอกไม้ ธูป เทียน พร้อมเงินบูชาครู 6 บาท
- การครอบครู สำหรับผู้ที่จบการเรียนไปแล้ว และมีประสบการณ์การนวด 5 ปี (เป็นการป้องกันไม่ให้วิชาด้อยลง) โดยศิษย์เก่าจะนำดอกไม้ ธูปเทียน เงินบูชาครู 12 บาท
การฝึกพลังนิ้วมือ มีขั้นตอน คือ นั่งขัดสมาธิเพชร วางมือ/นิ้ว เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกำลังแขนยกให้ตัวลอย (ก้นพ้นพื้น) ประมาณ 30-60 วินาที