ชื่ออื่น ๆ : ปาง (ไทยใหญ่ – แม่ฮ่องสอน) , ยานอ (กะเหรี่ยง – แม่ฮ่องสอน), คุนเช้า (จีน) , ต้าหม่า (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cannabis indica Lam.
ชื่อวงศ์ : CANNABACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
- ต้นกัญชา เป็นพืชล้มลุกมีอายุได้แค่เพียงปีเดียว ส่วนของรากเป็นระบบรากแก้ว (Tap root system) มีรากแขนงจำนวนมาก ส่วนของลำต้นพบว่าลำต้นตั้งตรง สีเขียว สูงประมาณ 1-3 เมตร มีลักษณะอวบน้ำเมื่อเป็นต้นกล้า เริ่มมีการสร้างเนื้อไม้เมื่อเจริญได้ 2-3 สัปดาห์ การเจริญเติบโตของต้นจะช้าในช่วง 6 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นจะเพิ่มความสูงอย่างรวดเร็ว จนมีความสูงเฉลี่ยคงที่ คือ ประมาณ 200 เซนติเมตร เนื่องจากมีการออกดอก เปลือกของลำต้นสามารถลอกออกเพื่อใช้ประโยชน์จากเส้นใย โดยเปลือกนอก (primary bast fibers) ให้เส้นใยที่ยาว เหนียว แต่ค่อนข้างหยาบ ส่วนเปลือกในที่ติดกับเนื้อไม้ (secondary bast fibers) ให้เส้นใยที่ละเอียดกว่าแต่สั้นกว่า
- ใบกัญชา เป็นใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ ออกเรียงตรงข้าม ลักษณะของใบแตกออกเป็นแฉก ๆ ประมาณ 5-8 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปยาวรี ปลายและโคนสอบ ส่วนขอบใบทุกแฉกเป็นหยักแบบฟันเลื่อย มีขนาดกว้างประมาณ 0.3-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ลักษณะของใบโดยรวมจะคล้าย ๆ กับใบละหุ่ง ใบฝิ่นต้น และใบมันสำปะหลัง ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนด้านล่างท้องใบมีสีเทาอ่อนเล็กน้อย มีขนต่อมกระจายทั่วผิวใบด้านบน ส่วนด้านล่างมีขนอ่อนนาบไปกับแผ่นใบ ก้านใบยาวประมาณ 4-15 เซนติเมตร ในก้านหนึ่งจะมีใบเดี่ยว 3-11 ใบ มีกลิ่นเหม็นเขียว
- ดอกกัญชา ส่วนของดอก มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มี “ดอกเพศผู้” และ “ดอกเพศเมีย” อยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) และชนิดดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น (dioecious) ในประเทศไทยพบว่าพืชกัญชามีดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด โดยปกติพืชกัญชาจะมีการติดดอกและเมล็ดในช่วง 90-120 วัน
ดอกเพศผู้ : ช่อดอกเพศผู้เป็นแบบ panicle ประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยง 5 กลีบ แยกกันเป็นอิสระมีสีเขียวอมเหลือง พบเกสรเพศผู้ 5 อัน ระยะเวลาการบานประมาณ 2 เดือน
ดอกเพศเมีย : เกิดตามซอกใบและปลายยอด ในบริเวณช่อดอกจะอัดตัวกันแน่น ช่อดอกเป็นแบบ spike ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวเข้มห่อหุ้มรังไข่ไว้ ภายในมี stigma 2 อัน สีน้ำตาลแดง อายุของดอกค่อนข้างสั้นประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็จะติดผล
- ผลกัญชา ผลเป็น achene ในผลนั้นจะมีเมล็ดกลมเล็ก ๆ มีขนาดเท่ากับลูกผักชี เป็นแบบผลแห้งเมล็ดล่อน ขนาดเล็ก เกลี้ยง สีนํ้าตาล ส่วนของเมล็ดเป็นเมล็ดเดี่ยว รูปไข่ป้อมผิวเรียบเป็นมันมีลายประดับสีน้ำตาล เมื่อแห้งมีสีเทา ขนาดประมาณ 3-4 มม. มีน้ำหนักเฉลี่ย 8-24 กรัมต่อเมล็ด 1,000 เมล็ด เมล็ดจะออกประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ หลังออกดอก
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ใบ, ดอก, เมล็ด
สรรพคุณ กัญชา :
- ใบ ใช้รักษาโรคหอบ หืด วิธีนำมาใช้โดยการนำเอาใบสดมาหั่นให้เป็นฝอย แล้วนำเอาไปตากแห้ง จากนั้นก็นำมาสูบใช้เป็นยารักษาโรค
- ยอดอ่อน เมื่อนำมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งจะได้สารชนิดเรียกว่า ทิงเจอร์แคนเนบิสอินดิคา เป็นยาน้ำมีสีเขียวเมื่อกินเข้าไป ประมาณ 5-15 หยด ก็จะช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท เป็นยาสงบเส้นประสาท ทำให้นอนหลับ เคลิ้มฝัน เป็นยาแก้อักเสบ (antiinflammation)เป็นยาระงับปวด (analgesic) แก้โรคสมองพิการ แก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และแก้โรคท้องร่วง เป็นต้น
- เส้นใยของลำต้น ใช้ในการทอผ้า ซึ่งจะได้ผ้าที่มีคุณภาพดี เหนียว คงทนมาก
- ดอก ใช้เป็นยารักษาแก้โรคประสาท เช่น คิดมาก นอนไม่หลับ ใช้กับผู้ป่วยที่เบื่ออาหารโดยใช้ปรุงอาหารให้กิน ช่วยกัดเสมหะในคอ โดยใช้ดอกของมันผสมกับยาฉุนพญามือเหล็ก หั่น แล้วใช้สูบ
- เมล็ด น้ำมันที่ได้จากการเมล็ดเป็นน้ำมันไม่ระเหย (fixedoil) ซึ่งจะนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ใช้ทำสบู่ สีทาบ้าน เป็นต้น นอกจากนี้เศษ หรือการที่ได้จากการสกัดเอาน้ำมันออกแล้ว ยังใช้เป็นอาหารของโค กระบือ ได้
ข้อมูลเพิ่มเติม :
การใช้ยาตามตำรับยาการแพทย์แผนไทย
สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้เผยแพร่ข้อมูลตำรับยาในทางการแพทย์แผนไทย 16 ตำรับ ตัวอย่างเช่น
- ตำรับยาศุขไสยาสน์ มีที่มาจากคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ ทั้งนี้พระนารายณ์มหาราชเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 27 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ข้อบ่งใช้ ช่วยให้นอนหลับ เจริญอาหาร ฟื้นฟูกำลังผู้ป่วยเรื้อรัง
ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่ไข้สูง - ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ มีที่มาจากตำรายาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ข้อบ่งใช้ แก้กษัยเหล็ก ลดอาการแทรกซ้อนในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับในระยะเริ่มต้น
ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้ายที่มีภาวะเส้นเลือดแตกเป็นใยแมงมุม ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีตับวาย ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด
และยังมียาตามตำรับการแพทย์แผนไทยอีก 14 ตำรับที่กรมแพทย์แผนไทยได้รับรองตามตำรับเดิมของคัมภีร์แพทย์แผนไทยโบราณของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ ตำรายาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์พระยาพิศณุประสาทเวช ร.ศ. 128 ตำรับยาอายุรเวทศึกษา (ขุนนิทเทสสุขกิจ ตำรับยาเวชศาสตร์วัณ์ณณา ตำรับยาคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์)
ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ในขณะนี้ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ในตำราการแพทย์แผนไทย โดยคำแนะนำของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกและสภาการแพทย์แผนไทย มีทั้งหมด 16 ตำรับ โดยให้เสพเพื่อการรักษาโรค หรือการศึกษาวิจัย เพื่อให้เป็นตามหลักวิชาการ มีคุณภาพมาตรฐานที่กำหนดและนำไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ของประเทศ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2562 ประกอบไปด้วย
- ยาอัคคินีวคณะ มาจาก คัมภีร์ธาตุพระนารายน์
- ยาศุขไสยาศน์ มาจาก คัมภีร์ธาตุพระนารายน์
- ยาแก้ลมเนาวนารีวาโย มาจาก ตำรายาศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
- ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ มาจาก ตำรายาศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
- ยาแก้ลมขึ้นเบื้องสูง มาจาก ตำรายาศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
- ยาไฟอาวุธ มาจาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 1 พระยาพิศณุประสาทเวช
- ยาแก้นอนไม่หลับ/ยาแก้ไข้ผอมเหลือง มาจาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 1 พระยาพิศณุประสาทเวช
- ยาแก้สัณฑฆาต กล่อนแห้ง มาจาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 2 พระยาพิศณุประสาทเวช
- ยาอัมฤตโอสถ มาจาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม 2 พระยาพิศณุประสาทเวช
- ยาอไภยสาลี มาจาก เวชศึกษา พระยาพิศณุประสาทเวช
- ยาแก้ลมแก้เส้น มาจาก เวชศาสตร์วัณ์ณณา
- ยาแก้โรคจิต มาจาก อายุรเวทศึกษา (ขุนนิทเทสสุขกิจ) เล่ม 2
- ยาไพสาลี มาจาก อายุรเวทศึกษา (ขุนนิทเทสสุขกิจ) เล่ม 2
- ยาทาริดสีดวงทวารหนักและโรคผิวหนัง มาจาก อายุรเวทศึกษา (ขุนนิทเทสสุขกิจ) เล่ม 2
- ยาทำลายพระสุเมรุ มาจาก คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ เล่ม 2 ขุนโสภิตบรรณลักษณ์
- ยาทิพยาธิคุณ มาจาก คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ เล่ม 2 ขุนโสภิตบรรณลักษณ์
โดยในแต่ละตำรับยาจะมีสรรพคุณและวิธีการใช้ที่แตกต่างกันไป ซึ่งในขณะนี้ยังจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 ก่อนใช้ต้องปรึกษาและได้รับการจ่ายยาจากแพทย์แผนไทยที่ผ่านการอบรมมาแล้วเท่านั้น
ศาสตร์การแพทย์แผนจีน : เมล็ดกัญชา เพิ่มความชุ่มชื้นให้ลําไส้ บําบัดอาการท้องผูกแบบอุจจาระแข็ง เหตุนํ้าในร่างกายน้อยหรือเลือดพร่อง มักใช้ในผู้สูงอาย
แพทย์ชาวโปรตุเกสได้บันทึกฤทธิของกัญชาในอินเดียว่า : ทําให้เคลิ้มสุข ทําให้สงบ กระตุ้นการย่อยอาหาร ทําให้ประสาทหลอน กระตุ้นกําหนัด
หมายเหตุ : กัญชา ปัจจุบันนี้ในทางเภสัช ถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเพราะฤทธิ์ของมันทำให้ผู้ที่สูบ หรือเสพเข้าไปแล้วจะทำให้ติด ทำให้เพ้อฝัน ความจำเลอะเลือน ตัวสั่น และทำให้เป็นคนเสียสติเป็นคนวิกลจริตพิการได้อีกด้วย ฉะนั้นเมื่อมีการใช้ ในขนาด และปริมาณที่พอควร
ใครสามารถปลูกกัญชา และปรุงยาจากกัญชาได้บ้าง?
แม้ประเทศไทยจะปลดล็อกกัญชาแล้ว แต่ในปัจจุบันก็เปิดให้ยื่นขออนุญาตปลูกกัญชาได้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่านั้น ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ระบุว่า ผู้ที่สามารถปลูกกัญชาได้ มีดังนี้
- หน่ายงานของรัฐ
- สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่มีการสอน วิจัย ทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์
- ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น สหกรณ์การเกษตร, วิสาหกิจชุมชน, วิสาหกิจสังคม ที่อยู่ภายใต้หน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษา
- ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (เภสัชกรรม ทันตกรรม การแพทย์แผนไทย หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมาย)
การขออนุญาตปลูกกัญชา
สำหรับผู้ที่ต้องการจะขออนุญาตเพื่อปลูกกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องประกอบไปด้วย 3 ข้อ ได้แก่
- มีคุณสมบัติเป็นผู้ที่สามารถปลูกกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 หรือมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชน และไปร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
- มีแผนโครงการ แผนกระบวนการผลิต และรายละเอียดการใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน
- มีสถานที่ปลูกกัญชา ที่มีเอกสารสิทธิครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้ที่สามารถปรุงยากัญชาได้
สำหรับผู้ที่จะนำกัญชาไปปรุงยาได้นั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย และหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย หรือผ่านการอบรมหลักสูตรการใช้ตำรับยาที่มีกัญชาผสม จากหลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุข
ส่วนการจำหน่าย หรือสั่งจ่ายยา ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้สถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนก็ได้ แต่ต้องเป็นตำรับยาที่ได้รับการยอมรับแล้วเท่านั้น
สายพันธุ์กัญชาที่นิยมปลูก
ต้นกัญชาที่นิยมปลูกกันทั้งในไทยและต่างประเทศ จะแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์ใหญ่ ๆ ดังนี้
1. สายพันธุ์ซาติวา (Cannabis Sativa)
2. สายพันธุ์อินดิกา (Cannabis Indica)
3. สายพันธุ์รูเดอราลิส (Cannabis Ruderalis)